เมื่อครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีในปี พ.ศ. 2325 ศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามต่างๆ ถูกสืบทอดมาจากสมัยอยุธยาแทบทั้งสิ้น รวมถึงลักษณะการแต่งกายด้วยเช่นกัน ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงใช้รูปแบบและลักษณะการแต่งกายเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา ต่อมาภายหลังเมื่อความเจริญของชาวตะวันตกได้แพร่ขยายอิทธิพลเข้ามาจึงเริ่มมีการดัดแปลงลักษณะการแต่งกายของชาวตะวันตกผสมผสานกับการแต่งกายแบบดั้งเดิมเพื่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้น ผนวกกับการปรับปรุงประเทศของกษัตริย์ไทยในสมัยนั้นที่ต้องการให้ประเทศมีความก้าวหน้าทันสมัยและก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก
ตั้งแต่สมัยอยุธยาจวบจนกรุงรัตนโกสินทร์ลักษณะการแต่งกายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการนุ่งหรือประเภทของผ้าที่นุ่งจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานภาพของผู้สวมใส่ว่าเป็นขุนนาง เป็นชนชั้นสูง หรือเป็นชาวบ้าน โดยการแต่งกายในแต่ละยุคแต่ละช่วงของกรุงรัตนโกสินทร์ สามารถจำแนกตามยุคสมัยรัชกาลได้ดังนี้
สมัยรัชกาลที่ 1 – 3 พ.ศ. 2535 – 2394
ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงแต่งกายตามรูปแบบดั้งเดิมตามสมัยอยุธยา ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมดังนั้นลักษณะการแต่งกายจึงต้องมีความทะมัดทะแมง โดยผู้ชายจะนุ่งโจงกระเบนถกสั้นเหนือเข่า ไม่สวมเสื้อ ไม่สวมรองเท้า หากอยู่บ้านจะนุ่งผ้าลอยชายหรือนุ่งโสร่ง มีผ้าคาดพุ่ง ผมทรงมหาดไทยหรือชาวบ้านจะเรียกว่า ทรงหลักแจว สำหรับผู้หญิงเวลาทำงานนุ่งโจงกระเบนและห่มตะเบ็งมาน เวลาอยู่บ้านคาดผ้าแถบ แต่เมื่อออกนอกบ้านจะนุ่งผ้าจีบ ห่มสไบทับผ้าแถบอีกที ทรงผมถ้าเป็นสาวจะตัดสั้นแบบดอกกระทุ่มแล้วปล่อยท้ายยาวงอนถึงบ่า ถ้าเป็นผู้ใหญ่ตัดผมปีกแบบโกนท้ายทอยสั้นเหมือนผู้ชาย
ภาพที่ 1 นุ่งโจงกระเบน-ชาย
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 2 นุ่งโจงกระเบน-หญิง
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 3 ทรงผมของผู้หญิงช่วงรัชกาลที่ 3-4
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 4 ผมทรงมหาดไทย
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ผ้านุ่งของชาวบ้านนั้นมักนุ่งผ้าพื้นเมืองเป็นผ้าสีพื้นหรือผ้าลายเนื้อเรียบๆ ต่างจากขุนนางชั้นสูงและพระมหากษัตริย์จะใช้ผ้าทอเนื้อละเอียดสอดเงินสอดทองหรือผ้าไหมอย่างดี เช่น ผ้ายกทอง ผ้าปูม ผ้าสมปัก โดยเฉพาะผ้าสมปักนี้พระมหากษัตริย์จะพระราชทานเป็นเครื่องยศหรือพระราชทานให้กับผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ใช้นุ่งตามตำแหน่งชั้นยศ ตั้งแต่ชั้นสมเด็จเจ้าพระยามาจนถึงผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นหลวง ซึ่งแต่ละชั้นยศก็จะมีลักษณะของผ้าและชื่อเรียกแตกต่างกัน
สำหรับการแต่งกายของขุนนางหรือชนชั้นสูงนั้น ผู้ชายเวลาอยู่บ้านนุ่งโจงกระเบนหรือนุ่งลอยชาย ไม่สวมเสื้อ อาจมีผ้าพาดบนบ่า การสวมเสื้อจะสวมเฉพาะเมื่อเข้ากระบวนแห่ ออกรบ หรืออยู่ในพิธีสำคัญ สำหรับผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบน หรือนุ่งผ้าจีบ และห่มสไบ ซึ่งผ้าสไบของชนชั้นสูงนี้จะมีการปักดิ้น หรือประดิดประดอยตกแต่งหรูหรา ถ้าเป็นของเจ้านายชั้นสูงจะใช้ราชาศัพท์ว่า ผ้าทรงสะพัก จะเป็นผ้าตาดทอง (ตาด เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่า ทอ) คือผ้าที่ทอด้วยทองแล่ง หรือแผ่นเงินชุบทองตัดเป็นเส้นเล็กๆ แล้วนำมาทอกับผ้าไหม
ลักษณะการแต่งกายของคนในสมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4
สมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 – 2411)
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก โดยทรงมีดำริว่า การไม่สวมเสื้อนั้นดูล้าสมัย ชาวต่างชาติจะมองว่าคนไทยเป็นคนป่า โดยพระองค์ทรงเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงจะพบเห็นได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนใหญ่ของพระองค์จะทรงชุดแบบฝรั่ง คือ ทรงฉลองพระองค์ (เสื้อ) และสนับเพลา (กางเกง) แบบฝรั่ง หรือบางภาพทรงฉลองพระองค์เสื้อนอกเปิดพระศอ พระภูษาโจงกระเบนแบบไทย
ภาพที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงฉลองพระองค์เสื้อนอกเปิดพระศอพระภูษาโจงกระเบนแบบไทย
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 6 สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีทรงแต่งพระองค์แบบโบราณ ห่มพระภูษาตาด
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ส่วนชนชั้นสูงหรือขุนนางผู้ชายจะนุ่งผ้าม่วงแพรโจงกระเบน สวมเสื้อนอกเหมือนพวกบ้าบ๋า (ชายชาวจีนที่เกิดในมลายู) สวมเสื้อเปิดอกเปิดคอหรือเป็นเสื้อกระบอกแขนยาว แต่ทรงผมยังคงเป็นทรงมหาดไทยเช่นเดิม เฉพาะราชทูตที่จะไปต่างประเทศจึงจะแต่งตัวแบบฝรั่งคือ สวมกางเกง ใส่เสื้อนอกคอปิด สวมรองเท้าคัทชู และตัดผมทรงฝรั่ง แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยจะกลับมาไว้ทรงมหาดไทยเช่นเดิม
การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงการแต่งกายเพราะ “อายฝรั่ง” นั้นไม่ได้แพร่หลายไปถึงชาวบ้านทั่วไป ส่วนใหญ่ยังคงไว้ผมปีก ห่มสไบ นุ่งผ้าจีบ ผ้าโจงเหมือนรัชกาลก่อนๆ ผู้หญิงยังคงนิยมนุ่งผ้าลายโจงกระเบน นุ่งจีบ ใส่เสื้อกระบอก คือมีลักษณะผ่าอก คอตั้งปลาย แขนยาวถึงข้อมือ เสื้อจะพอดีตัวยาวเพียงเอว แล้วห่มสไบจีบเฉียงบนเสื้ออีกที เมื่ออยู่บ้านยังคงนุ่งผ้าแถบและหากทำงานกลางแจ้งยังห่มตะเบ็งมานเช่นเดิม ซึ่งเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนคนรุ่นเก่าหมดไป สำหรับทรงผมจะยังคงเป็นผมปีก ด้านหลังตัดสั้น บางคนโกนผมขึ้นเหมือนทรงมหาดไทยของผู้ชาย อาจมีการปล่อยชายผมให้ตกริมหูทั้งสองข้าง หรือเรียกว่า ผมทัด
การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในสมัยรัชกาลที่ 4 ยังเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นเจ้านาย ขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 นี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเอาวัฒนธรรมการแต่งกายของชาติตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมการแต่งกายดั้งเดิมของไทย ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 การแต่งกายแบบผสมผสานนี้จึงเกิดการแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
สมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2453)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงประเทศหลายด้าน เนื่องจากปัจจัยภายนอกเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในชาติทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้ชาติตะวันตกมองว่าเราเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” สำหรับการปรับเปลี่ยนประเพณีการแต่งกายนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงให้ชายไทยในราชสำนักยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2414 โดยให้เปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวอย่างฝรั่ง ให้นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนสีต่างๆ และให้ยกเลิกการนุ่งผ้าสมปักแบบเดิม สวมเสื้อคอปิดกระดุม 5 เม็ด หรือที่เรียกว่า “เสื้อราชประแตน” ที่ทรงเป็นผู้คิดแบบขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งทรงเห็นว่าเสื้อเปิดอกแบบฝรั่งต้องมีเสื้อชั้นในทำให้ร้อน จึงให้ตัดเสื้อใส่ชั้นเดียวมีกระดุมกลัดตลอดอกขึ้นใส่แทน ภายหลังต่อมาในปี 2438 จึงมีพระราชโองการให้ข้าราชการทหารทุกกรมกองแต่งเครื่องแบบนุ่งกางเกงอย่างทหารในยุโรป ส่วนผู้หญิงนั้นทรงให้เลิกไว้ผมปีกและให้ตัดผมยาวทรงดอกกระทุ่มแทน สำหรับการแต่งกายนั้นจะสวมเสื้อแบบอังกฤษคือมีคอตั้งแขนยาว มีแขนพองตั้งแต่ไหล่จนถึงต้นแขนแล้วจึงแนบกับลำแขนไปจนถึงข้อศอก หรือที่เรียกว่า เสื้อแขนหมูแฮม แต่ยังคงมีการห่มแพรแบบสไบเฉียงทับบนเสื้ออีกที ส่วนผ้านุ่งยังคงนุ่งโจงกระเบนผ้าม่วง ผ้าลาย หรือผ้าพื้นให้เข้ากับเสื้อสี สวมถุงเท้าและรองเท้าคัทชู นอกจากนี้สตรีชาววังบางคนนิยมนำผ้าลูกไม้ ผ้าไหม ผ้าแพรเนื้อดีจากยุโรปมาประดับตกแต่งตัวเสื้อ คอ และแขน เพื่อเพิ่มความสวยงามในแบบของตนอีกด้วย
ภาพที่ 7 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์แบบเสื้อนอกเปิดพระศอ
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 8 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 ฉลองพระองค์เต็มยศใหญ่อย่างโบราณ แต่พระกรฉลองพระองค์เป็นแบบดัดแปลงแบบตะวันตก ที่เรียกว่า “แขนหมูแฮม”
ที่มา : สำนักงานอุทยานการเรียนรู้, 2555
การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้มีเจ้านายและขุนนางเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจากนั้นจึงเริ่มแพร่หลายสู่ราษฎรทั่วไป ในช่วงต้นรัชกาลหญิงสามัญชนทั่วไปจะยังคงนุ่งโจงกระเบนและสวมเสื้อกระบอก ผ่าอก แขนยาว ห่มแพรจีบตามขวางสไบเฉียงทาบบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง แต่ถ้าอยู่บ้านจะห่มสไบไม่สวมเสื้อ ส่วนผู้ชายจะนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อราชประแตน ถือไม้เท้า เมื่อไปงานพิธีต่างๆ จะใส่ถุงเท้าและรองเท้า ช่วงกลางรัชกาล ผู้หญิงจะนุ่งผ้าจีบไว้ชายพกสวมเสื้อแขนหมูแฮม มีผ้าห่มหรือแพรสไบเฉียงตามโอกาสทับเสื้ออีกที สวมรองเท้าบูทและสวมถุงเท้าตลอดน่อง ส่วนผู้ชายยังคงแต่งกายเหมือนช่วงต้นรัชกาล
ภาพที่ 9 ข้าราชการมหาดไทยมณฑลฝ่ายเหนือ นุ่งโจงกระเบนและสวมเสื้อราชประแตน
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
เมื่อถึงช่วงปลายรัชกาล ผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแบบตะวันตกตัดจากแพรไหม ลูกไม้ แขนยาวพองฟู เอวเสื้อผ้าจีบเข้ารูปหรือคาดเข็มขัด หรือห้อยสายนาฬิกา สะพายแพร สวมถุงเท้ามีลวดลายปักสีและสวมรองเท้าส้นสูง เริ่มมีการแต่งหน้าโดยใช้เครื่องสำอางแบบตะวันตกและมีการขัดฟันให้ขาว ส่วนผู้ชายจะนุ่งกางเกงแบบฝรั่งแทนการนุ่งโจงกระเบน สวมหมวกกะโล่ สำหรับข้าราชการจะแต่งกายด้วยเครื่องแบบตามพระราชกำหนดเหมือนอารยะประเทศ
ภาพที่ 10 เสด็จประพาสอินเดีย พ.ศ. 2414 คณะเดินทางแต่งกายแบบฝรั่งแต่ยังคงนุงโจงกระเบนแบบไทย
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 11 การแต่งกายของเจ้านายในสมัยรัชกาลที่ 5
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของคนไทยอย่างแท้จริง เนื่องจากทรงเสด็จประพาสยุโรปและได้ทรงนำแบบอย่างการแต่งกายแบบยุโรปกลับมาใช้ในประเทศไทย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายนี้ยังเป็นไปเฉพาะเจ้านายในราชสำนักและชนชั้นสูงที่มีกำลังทรัพย์ ชาวบ้านทั่วไปที่ยังตามไม่ทันหรือไม่มีกำลังพอที่จะทำตามก็จะแต่งเพียงเท่าที่จะทำได้ อย่างง่ายที่สุดก็คือการเปลี่ยนทรงผม สวมเสื้อธรรมดา นุ่งผ้า และสวมกางเกงแพรของจีนอย่างง่ายๆ
วิวัฒนาการการแต่งกายของไทยในช่วงต้นของรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 หรือระหว่างปี พ.ศ. 2325 จนถึงปี พ.ศ. 2453 รวมระยะเวลา 128 ปี เป็นช่วงเวลาที่ลักษณะการแต่งกายของคนไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดจากความต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศมิให้ชาติตะวันตกมองว่าไทยเป็นประเทศที่ไม่มีอารยธรรมและไม่อยากให้คนไทยถูกดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน จึงได้รับเอาวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมการแต่งกายดั้งเดิมของไทย เกิดเป็นรูปแบบการแต่งกายแบบผสมผสานที่มีความงดงาม กลมกลืน และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย
เรียบเรียงโดย นางสาวจินตนา ปรัสพันธ์ นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ
ฝ่ายอุทยานการศึกษา สำนักการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
บรรณานุกรม
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้. (2555). [ออนไลน์]. วิวัฒนาการการแต่งกายสมัยกรุงรัตนโกสินทร์. [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561]. จาก http://valuablebook2.tkpark.or.th/2015/6/book_index.html.
อัจฉรา สโรบล. (2550). [ออนไลน์]. เอกสารประกอบการสอน 006216 : History of Costume (ประวัติเครื่องแต่งกาย). [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561]. จาก http://www.human.cmu.ac.th/home/
hc/ebook/006216/006216-03.pdf
อเนก นาวิกมูล. (2547). การแต่งกายสมัยรัตน์โกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.