ในช่วงรัชสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ช่วงรัชกาลที่ 1-3 เป็นยุคที่ลักษณะการแต่งกายยังคงรูปแบบดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยา จนเมื่อเริ่มสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระประสงค์ในการพัฒนาประเทศให้มีความทันสมัยตามแบบของชาวตะวันตก เพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกดูถูกจากต่างชาติ จวบจบสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทรงดำเนินตามแนวของรัชกาลที่ 4 ในการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยในหลายๆ ด้านดังเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป และในด้านการแต่งกายนั้นมีการผสมผสานวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวตะวันตกเข้ากับวัฒนธรรมของไทยทำให้เกิดลักษณะการแต่งกายที่งดงามซึ่งหาชาติใดเสมอเหมือนได้ยากนัก สำหรับรูปแบบการแต่งกายใน
รัชสมัยรัชกาลที่ 6 ถึง รัชกาลที่ 9 ก็ยังคงลักษณะการแต่งกายที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น โดยมีวิวัฒนาการการแต่งกายตามยุคสมัยรัชกาลต่างๆ ดังนี้
สมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453 – 2468)
รัชกาลที่ 6 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ทรงเป็นผู้นำในการปรับปรุงประเพณีและวัฒนธรรมสืบต่อจากรัชกาลที่ 5 พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะให้ชาวโลกได้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณีอันเก่าแก่ของไทย โดยทรงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2453 จัดตามราชประเพณี ส่วนครั้งที่ 2 จัดในเดือนพฤศจิกายน 2454 เรียกว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช ซึ่งจัด ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยได้เชิญผู้แทนประมุขและผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศมาร่วมซึ่งเป็นการเชิญชาวต่างชาติมาร่วมในพระราชพิธีเป็นครั้งแรก และได้ทรงให้มีการปรับปรุงการแต่งกายของคนไทยให้มีความเรียบร้อยสวยงาม เพื่อแสดงความเป็นอารยะแก่สายตาชาวต่างชาติ
ในช่วงต้นรัชสมัยยังคงลักษณะการแต่งกายเช่นเดียวกับสมัยรัชกาลที่ 5 แต่มีบางอย่างที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้าง ผู้หญิงยังคงนุ่งโจมกระเบนอยู่แต่นิยมใช้ผ้าม่วงเช่นเดียวกับผู้ชาย สวมเสื้อผ่าอก แต่คอลึกกว่าเดิม แขนยาวเสมอศอก มีแพรบางสะพายทับเสื้ออีกที สำหรับทรงผมของผู้หญิงมีการไว้ผมยาวเสมอต้นคอและดัดเป็นลอนแบบชาวยุโรป และมีการใช้เครื่องสำอางแต่งหน้า ส่วนผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบนเสื้อราชประแตน มีการสวมเสื้อครุยแขนยาวจรดข้อมือตัวเสื้อยาวคลุมเข่าสวมทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง และทรงผมตัดแบบชาวยุโรป
ภาพที่ 1 การแต่งกายของชนชั้นสูงในสมัยรัชกาลที่ 6
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ช่วงปลายรัชสมัยทรงโปรดให้ผู้หญิงไว้ผมยาวเกล้ามวย นุ่งซิ่น และฟันขาว โดยเฉพาะทรงผมที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้นเป็นผมบ๊อบที่ตัดสั้นระดับใบหูตอนล่าง ทั้งสองข้างยาวเท่ากันและตัดข้างหลังให้โค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อย อีกทรงที่นิยมคือผมชิงเกิ้ล (Shingle) ลักษณะตัดสั้นเหมือนผมบ๊อบแต่ซอยผมด้านหลังให้ลาดเฉียงลงไปคล้ายหลังคาลาด สำหรับเจ้านายและผู้ดีสมัยนั้นนิยมเอาสายสร้อยหรือผ้ามาคาดรอบศรีษะเหมือนอินเดียแดงในภาพยนตร์ สำหรับเสื้อจะเป็นเสื้อตัวยาวหลวมๆ สวมทับซิ่นอีกทีหนึ่งส่วนมากใช้ผ้าลูกไม้ฝรั่งปักเป็นลวดลายด้วยลูกปัดและไข่มุก นิยมใส่เครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุก ต่างหูห้อยระย้า เพื่อให้เข้ากับเครื่องแต่งกายที่ปักด้วยลูกปัดและไข่มุก สำหรับผู้ชายนุ่งกางเกงแบบฝรั่ง และนิยมนุ่งกางเกงแพรแบบลำลองจนถึงสมัยรัชกาลที่ 8 นอกจากนี้มีการปรับปรุงการแต่งกายทั้งของทหารและพลเรือนเพื่อให้สอดคล้องกับสากลนิยม เนื่องจากมีการจัดส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในยุโรป
ภาพที่ 2 ผมบ๊อบ
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
สมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 – 2477)
ในสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นยุคที่คนไทยมีโอกาสได้ไปศึกษายังต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คนไทยจึงมีความสนใจในวัฒนธรรมของชาติตะวันตกมากขึ้น สำหรับวัฒนธรรมการแต่งกายของชาติตะวันตกก็ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งกายของชาวอเมริกันที่กำลังเฟื่องฟูในช่วงนั้น โดยผู้หญิงจะมีการนุ่งกระโปรงกันมากขึ้นและมีการประยุกต์การนุ่งผ้าซิ่นแบบเดิมมาตัดเป็นผ้าถุงสำเร็จ ซึ่งเป็นผ้าถุงที่เย็บพอดีเอวโดยไม่ต้องคาดเข็มขัด และนิยมสวมเสื้อหลวมไม่เข้ารูป ตัวยาวคลุมสะโพก ไม่มีแขน ใส่สายสร้อย และตุ้มหูยาวแบบต่างๆ สวมกำไล ส่วนทรงผมนิยมดัดเป็นลอน และมีผ้าคาดผม
ภาพที่ 3 การแต่งกายของเจ้านายในรัชกาลที่ 7
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 4 ครอบครัวข้าราชการสมัยรัชกาลที่ 7
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ส่วนผู้ชายที่เป็นข้าราชการ ในช่วงต้นรัชกาลยังนิยมนุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเท้า และสวมหมวกกะโล่ ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรเห็นว่า การแต่งกายของข้าราชการที่แต่งกันอยู่ในเวลานั้นมีความล้าสมัยไม่เหมาะกับประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นจากชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อในประเทศ จึงประกาศให้ยกเลิกการนุ่งผ้าม่วงโดยให้นุ่งกางเกงขายาวตามแบบฝรั่งแทน แต่ยังไม่ได้เป็นการบังคับเลยทีเดียว ยังคงผ่อนผันให้นุ่งได้อยู่บ้าง จนเมื่อปี พ.ศ. 2478 ซึ่งเป็นรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการออกตราพระราชบัญญัติการแต่งกายข้าราชการพลเรือนขึ้น ซึ่งให้ข้าราชการเลิกการนุ่งผ้าม่วงโดยเด็ดขาด และเมื่อข้าราชการปรับเปลี่ยนการแต่งกายเช่นนี้ ประชาชนโดยทั่วไปจึงทำตามมากขึ้นเรื่อยๆ
สมัยรัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477 – 2489)
ในสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นยุครัฐนิยม ในสมัยนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายในการสร้างชาติไทยเข้าสู่ความเป็นอารยประเทศ โดยแรกเริ่มได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” และได้มีกระบวนการสร้างชาติในด้านต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมขนานใหญ่ที่รัฐพยายามให้วัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชาติ เช่น มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการแต่งกายออกมาหลายฉบับที่พยายามชี้ให้เห็นว่าการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยนั้นจะมีส่วนช่วยรัฐในการส่งเสริมวัฒนธรรมและการสร้างชาติให้วิวัฒนาถาวร ทั้งนี้ได้มีการกำหนดแนวทางการแต่งกายให้ประชาชนถือปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงและความเป็นระเบียบของการแต่งกายของคนในชาติ โดยได้กำหนดเครื่องแต่งกายออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องแต่งกายธรรมดาใช้ในที่ชุมชนที่สาธารณะ เครื่องแต่งกายทำงานแบ่งเป็นการทำงานทั่วไปและการทำงานเฉพาะ และเครื่องแต่งกายตามโอกาสต่างๆ
ภาพที่ 5 “มาลานำไทย”
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
การแต่งกายของประชาชนโดยทั่วไป ผู้ชายจะสวมเสื้อคอปิดหรือเปิดก็ได้ และสวมกางเกงแบบฝรั่งส่วนผู้หญิงต้องสวมเสื้อแบบใดก็ได้ แต่ต้องคลุมไหล่ สวมกระโปรง แต่ชาวบ้านทั่วไปยังคงนุ่งผ้าถุง เนื่องจากกระโปรงยังเป็นของแปลกใหม่ และทุกคนต้องสวมรองเท้า นอกจากนี้ยังมีการเชิญชวนให้สตรีไทยสวมหมวก โดยมีการโฆษณาว่า “สวมหมวกเพื่อส่งเสริมการสร้างชาติของท่านในหน้าที่สตรีไทยให้เด่นยิ่งขึ้น” และยังได้มีคำแนะนำในการใช้หมวกในโอกาสต่างๆ รวมถึงการเลือกใช้หมวก และการถอดหมวกด้วย ซึ่งเมื่อหมดสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม การสวมหมวกก็ค่อยๆ หายไป
ภาพที่ 6 ชาวบ้านสวมหมวก นุ่งผ้าถุง หรือกางเกงขาสั้นมารับของ
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
สมัยรัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489 – 2559)
ในสมัยรัชกาลที่ 9 ในช่วงต้นการแต่งกายของประชาชนยังคงแบบอย่างตามรัชกาลก่อนคือ ผู้ชายสวมกางเกงแบบฝรั่ง สวมเสื้อเชิ้ต และผู้หญิงนุ่งกระโปรงหรือนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อคอแบบต่างๆ หรือเสื้อเชิ้ต ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาอย่างแพร่หลาย จะมีการนุ่งซิ่นอยู่บ้างก็เพียงชาวบ้านในชนบทเท่านั้น เรียกได้ว่าการแต่งกายในชีวิตประจำวันถูกอิทธิพลของตะวันตกกลืนหายไปจนหมด จนไม่มีเครื่องแต่งกายประจำชาติเหมือนประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สาหรีของอินเดีย หรือกิโมโนของญี่ปุ่น จนเมื่อปี พ.ศ. 2503 ในการตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เยือนยุโรปและอเมริกา 14 ประเทศ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในครั้งนั้นทรงต้องใช้เวลาในการเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนานหลายเดือน และทรงประสบปัญหาเรื่องเสื้อผ้าที่จะใช้เป็นแบบฉบับ หรือชุดประจำชาติที่เหมาะสมกับสมัย จึงได้โปรดฯ ให้ช่วยกันค้นพระบรมรูปของพระมเหสีในรัชกาลองค์ก่อนๆ มาทอดพระเนตรพิจารณา และได้ทรงตัดสินพระทัยคิดรูปแบบใหม่ขึ้น โดยให้หม่อมหลวงมณีรัตน์ บุนนาค ไปพบกับอาจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์และช่วยกันค้นคว้าและออกแบบขึ้น โดยชุดที่ได้ออกแบบนั้นภายหลังเรียกกันว่า “ชุดไทยพระราชนิยม” ซึ่งประกอบด้วย
1. ไทยเรือนต้น ใช้ในโอกาสปกติ เป็นชุดไทยแบบลำลอง เช่น งานกฐิน เที่ยวเรือ งานบุญ วันสำคัญทางศาสนา ข้อสำคัญคือต้องเลือกผ้าที่ใช้ตัดให้เหมาะกับเวลาและสถานที่
ภาพที่ 7 ชุดไทยเรือนต้น
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
2. ไทยจิตรลดา ใช้ในโอกาสพิเศษที่ไม่ต้องประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เช่น งานพระราชพิธีต่างๆ หรืองานที่ผู้ชายแต่งเต็มยศ
ภาพที่ 8 ชุดไทยจิตรลดา
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
3. ไทยอมรินทร์ แบบเหมือนไทยจิตรลดาต่างกันที่ใช้ผ้าและเครื่องประดับหรูหรากว่า ใช้สำหรับพิธีเลี้ยงตอนค่ำ เช่น งานพระราชพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษา หรือใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้เครื่องแต่งกายเต็มยศหรือครึ่งยศ เช่น ในงานพระราชพิธี หรืองานสโมสรสันนิบาต
ภาพที่ 9 ชุดไทยอมรินทร์
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
4. ไทยบรมพิมาน สำหรับพิธีตอนค่ำ เหมาะสำหรับงานพิธีเต็มยศและครึ่งยศ เช่น งานพระราชทานเลี้ยงอาหารอย่างเป็นทางการ หรือใช้เป็นชุดเจ้าสาว
ภาพที่ 10 ชุดไทยบรมพิมาน
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
5. ไทยจักรี หรือชุดไทยสไบ ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศสำหรับอากาศที่ไม่เย็น
ภาพที่ 11 ชุดไทยจักรี
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
6. ไทยดุสิต ใช้ในงานพระราชพิธีที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ บางท่านเรียกชุดนี้ว่า ชุดไทยสุโขทัย
ภาพที่ 12 ชุดไทยดุสิต
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
7. ไทยจักรพรรดิ เป็นแบบไทยแท้ ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศเช่นเดียวกับชุดไทยจักรี
ภาพที่ 13 ชุดไทยจักรพรรดิ
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
8. ไทยศิวาลัย ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ
ภาพที่ 14 ชุดไทยศิวาลัย
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ในปี พ.ศ. 2522 จึงเกิดชุดประจำชาติฝ่ายชาย เรียกว่า ชุดพระราชทาน โดยมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้ที่เผยแพร่เป็นคนแรก ซึ่งเดิมทีเกิดจากพลเอกเปรมได้ไปเยือนประเทศในอาเซียนและแต่ละประเทศก็มีชุดประจำชาติของตน แต่ประเทศไทยไม่มี จึงได้นำความกราบทูลปรึกษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ จึงได้ทรงพระราชทานเสื้อให้หนึ่งตัว ซึ่งเป็นฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงใช้ประจำและได้ทรงพระราชทานแบบเสื้อให้ด้วย จากจุดนี้เองเสื้อพระราชทานจึงได้ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง แบบเสื้อพระราชทานมี 3 แบบด้วยกัน คือ แบบแขนสั้น แบบแขนยาวคาดผ้า และแบบแขนยาวไม่คาดผ้า ซึ่งแบบแขนยาวคาดผ้าถือเป็นแบบเต็มยศที่สุด
ภาพที่ 15 พลเอกเปรม สวมเสื้อพระราชทาน
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
นอกจากการแต่งกายแบบเป็นทางการแล้วนั้น ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะชาวกรุงมีการนำแฟชั่นของชาวตะวันตกเข้ามาหลากหลายรูปแบบทั้งชายและหญิง เช่น ในช่วงต้นรัชกาลมีการนุ่งกระโปรงแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่นิยมมี 3 แบบ ได้แก่ กระโปรงนิวลุค เป็นกระโปรงบานเมื่อนั่งลงกับพื้นจะเป็นวงกลมรอบตัว กระโปรง 4 ชิ้น 6 ชิ้น 8 ชิ้น เป็นกระโปรงที่ใช้ผ้า 4 ชิ้น หรือ 6 ชิ้น หรือ 8 ชิ้น มาต่อกัน แล้วแต่ความเหมาะสมของรูปร่าง และกระโปรงสุ่มไก่ เป็นกระโปรงที่มีโครงไม้กลมๆ อยู่ข้างใน สอดในรอยต่อระหว่างชั้นทุกชั้น ในช่วงนี้จะสวมเสื้อประดับลูกไม้ มีจีบระบาย ทรงผมดัดหยิก ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2511 กระโปรงมินิสเกิ๊ต เข้ามาแพร่หลายในประเทศ เป็นกระโปรงสั้นเหนือเข่า ซึ่งความสั้นยาวของกระโปรงมีหลายระดับ แบบที่สั้นมากเรียกว่า ไมโครสเกิ๊ต แบบที่เลยเข่าลงมาเป็นแบบสุภาพยาวครึ่งน่องเรียกว่า กระโปรงมิดี้ และถ้ายาวเลยจนกรอมเท้า เรียกว่า กระโปรงแม๊กซี่
ภาพที่ 16 กระโปรงนิวลุค
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
ภาพที่ 17 กระโปรงมิดี้ และกระโปรงมินิสเกิ๊ต
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
สำหรับผู้ชายการแต่งกายแต่ละช่วงจะได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะจากภาพยนตร์ เช่น ในช่วงสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประมาณปี พ.ศ. 2500 ได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์ประเภทร๊อค-แอนโรล มีการแต่งกายแบบนุ่งกางเกงขาลีบ เสื้อตัวพองๆ และไว้ผมทรงออร์เหลน ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2513 แฟชั่นฮิปปี้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการไว้ผมทรงฮิปปี้ ส่วนรูปแบบกางเกงที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้น คือ กางเกงเด๊ฟและกางเกงม้อด กางเกงเด๊ฟเป็นกางเกงขาลีบ เรียว ส่วนกางเกงม้อดเป็นกางเกงขาลีบตรงหัวเข่าและบานออกไปจนคลุมเท้าเหมือนขาม้า ซึ่งการแพร่หลายของแฟชั่นการแต่งกายในยุคสมัยนี้โฆษณามีอิทธิพลมาก เนื่องจากมีความเจริญก้าวหน้าของระบบสื่อสารมากขึ้น ทำให้แฟชั่นในยุคต่างๆ ถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้
ภาพที่ 18 กางเกงม้อด
ที่มา : อเนก นาวิกมูล, 2547
วิวัฒนาการของการแต่งกายในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 9 ส่วนใหญ่มักได้รับอิทธิพลจากผู้ที่มีบทบาทในสังคมของแต่ละยุคสมัย เช่นในยุคการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช กษัตริย์และราชวงศ์ชั้นสูงจะเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในสังคมจึงเป็นผู้นำในวัฒนธรรมการแต่งกายของสังคมในยุคนั้น เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในยุคแรก ผู้นำของรัฐบาลในสมัยนั้นมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในทุกด้านรวมถึงวัฒนธรรมการแต่งกายด้วย จวบจนเมื่อมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมากขึ้น การสื่อสารมีความทันสมัยและคนทั่วไปสามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปที่มีบทบาทในสังคม เช่น นักร้อง นักแสดง หรือคนที่มีชื่อเสียงในวงสังคมต่างๆ จึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับการแต่งกายของคนไทยมากขึ้นจนถึงยุคปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย นางสาวจินตนา ปรัสพันธ์ นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ
ฝ่ายอุทยานการศึกษา สำนักการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
บรรณานุกรม
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้. (2555). [ออนไลน์]. วิวัฒนาการการแต่งกายสมัยกรุงรัตนโกสินทร์. [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561]. จาก http://valuablebook2.tkpark.or.th/2015/6/book_index.html.
อัจฉรา สโรบล. (2550). [ออนไลน์]. เอกสารประกอบการสอน 006216 : History of Costume (ประวัติเครื่องแต่งกาย). [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561]. จาก http://www.human.cmu.ac.th/home/
hc/ebook/006216/006216-03.pdf
อเนก นาวิกมูล. (2547). การแต่งกายสมัยรัตน์โกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.