ติวสอบกันค่ะ ^____^

(Self-study Skills for English Language Learning)
şişli travesti ilanları
KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 3:39 am

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ร่วมคลาสทุกท่าน

วันนี้แนทอยากจะชวนเพื่อนๆ มาทบทวนบทเรียนก่อนสอบกัน
ใครที่ว่างๆ แล้วมีประเด็นไหนสงสัย หรือใครอยากแนะนำอะไร
มาคุยกันได้นะคะ (ตอบได้ ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกทีค่ะ 55)
(ไม่ได้มาขายตรงนะคะ ไม่ต้องกลัว)

อันดับแรก เชื่อว่าบางคนอาจยังไม่รู้ว่าสอบไฟนอล เราสอบแค่ 6 โมดูลเท่านั้น
โมดูลไหนบ้างล่ะ เลขที่ออกมี... 1, 2, 7, 11, 13 และ 14 ค่ะ
(อ้างอิงจากคลิปไฟล์ปฐมนิเทศชุดวิชานะคะ http://media.stou.ac.th/view_video.php? ... g&vid=8474 ใครยังไม่เคยฟังคลิปนี้ ไปฟังกันได้นะคะ จะได้เห็นหน้าอาจารย์เราด้วย ว่าหน้าตาเป็นยังไง เสียงเพราะแค่ไหน ฮาาา)

สำหรับคนที่เตรียมตัวสอบซ่อมแล้ว.. หรือเตรียมตัวลงทะเบียนใหม่แล้ว
อยากให้ใจเย็นก่อนนะคะ (ข้ามขั้นไปหรือเปล่า เตรียมสอบก่อนนนน)

มาติวกันก่อน อย่าเพิ่งท้อนะคะ ^________^

***แนทให้ข้อมูลไหนผิด ทักท้วงได้นะคะ ไม่ต้องปาทุเรียนใส่!!
แต่ซื้อมาฝากได้ค่ะ แฮร่ๆ ***

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 4:07 am

โมดูลที่ 1 Getting to Know You (Aj. Chirasiri)
(อาจารย์โมดูลนี้สวยและเสียงเพราะมาก อร๊างง อร๊างงง)

โมดูลนี้ เกี่ยวกับการแนะนำตัวค่ะ เราต้องแนะนำตัวให้ถูกต้อง

>>> แนะนำชื่อ
My name is .......ชื่อของเรา........
I'm ......ชื่อของเรา.......

ต้องมี Mr. หรือ Miss นำหน้าชื่อไหม คำตอบคือ ไม่ต้องมีนะคะ
ที่สำคัญคือ อย่าลืม ถ้าจะใช้ my name ก็เอา is ไปต่อด้วย
ถ้าจะขึ้นด้วย I ก็อย่าลืม am ด้วยนะคะ

>>> การบอกอายุ
I'm 26 years old.
ฉันอายุ 26 ปี
สังเกตหลัง old ไม่มีอะไรตามเลยนอกจากจุด แบบนี้ year ต้องเติม s ด้วยนะคะ

I'm a 26-year-old mother.
ฉันเป็นคุณแม่อายุ 26 ปี (แค่ตัวอย่างนะคะ หนูยังไม่มีลูก)
สังเกตหลัง old มี mother ตามหลังแบบนี้ แสดงว่า 26 year old มันขยาย mother
เพราะงั้น เราควรจะมี a เป็น article นำหน้า
และ 26-year-old ต้องมีขีดแบบนี้นะคะ และ year ไม่ต้องเติม s

>>> การบอกว่าเราเป็น นศ. ปี 1
เลขในภาษาอังกฤษ มันจะมีเลขจำนวนนับ กับเลขลำดับที่นะคะ
เลขจำนวนนับ ก็แบบ.. มีส้ม 3 ผล, เลขอายุเรา
เลขลำดับที่ เช่น แข่งวิ่งได้ที่ 1, สอบได้ที่ 1, กดลิฟท์ชั้น 1, หรือ การบอกว่าเราเป็น นศ. ปี1, ครบรอบแต่งงานปีที่1

เลขจำนวนนับ one, two, three
เลขลำดับที่ first, second, third

เพราะงั้น ก่อนจะใช้เลข คิดก่อนนะคะว่าเป็นเลขจำนวนนับ หรือลำดับที่

>>> การบอกความรู้สึก
เช่น excite (ตื่นเต้น), interest (สนใจ), bore (เบื่อ)

มักสับสนว่าจะเติม -ed หรือ -ing ดี

I'm bored แปลว่า ฉันรู้สึกเบื่อ
แต่ถ้า I'm boring แปลว่า ฉันเป็นคนน่าเบื่อ

I'm interested in.. (ใช้ preposition คู่กับ in เสมอๆ) ฉันรู้สึกสนใจใน...
I'm interesting แปลว่า ฉันเป็นคนน่าสนใจ (ดูหลงตัวเองมากค่ะ)

เพราะงั้น ใช้ให้ถูกนะคะ
อย่าลืมใช้ is/am/are นำหน้าคำพวกนี้ด้วย

เช่น This book is boring. หนังสือเล่มนี้น่าเบื่อ

>>> การใช้ preposition of place (คำบุพบท ใช้บอกตำแหน่ง)
เช่น คำพวก in, on, at, under

จะบอกว่า บ้านอยู่บนถนนอะไรแบบนี้ ต้องใช้ "on" เช่น on Mittraparp Road
แต่ถ้าเป็นชื่อจังหวัดหรือประเทศ ใช้ "in" เช่น in Bangkok, in Japan
ถ้าเป็นชื่อสถานที่ล่ะ ใช้ in/at ก็ได้
เช่น at the airport, at the office, in the hotel

>>> การบอกงานอดิเรก
My hobby is ....คำนาม... เช่น My hobby is reading.
My hobbies are .... คำนาม..... เช่น My hobbies are reading and fishing.

I like playing football in my free time.
สังเกตนะคะ หลัง like กริยาเติม -ing

>>> การบอกรูปร่างหน้าตา

She has an round face and wavy hair. เธอหน้ากลมและผมหยักศก
She is tall and thin. เธอสูงและผอม
She has black eyes and light brown hair. เธอตาสีดำและผมสีน้ำตาลอ่อน

สังเกต จะมีการใช้ is และ has ในการบรรยายนะคะ

ส่วนคำศัพท์เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ศึกษาได้จากภาพนี้ค่ะ
Image

(https://learnenglishteam.blogspot.com/2 ... rance.html)

peaceful
Posts: 21
Joined: Wed Mar 15, 2017 10:35 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by peaceful » Fri Jun 23, 2017 5:10 am

ขอบคุณมากนะคะ เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ รอติดตามอยู่ค่ะ

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 5:15 am

โมดูลที่ 2 Getting to Know Myself (Aj. Chirasiri)

โมดูลนี้เรามีเรื่องของทับทิมเป็นตัวอย่างให้อ่านเนาะ เพราะงั้นมาแปลกันก่อน


Tabtim is in her first year of studies at Sukhothai Thammathirat Open University where she is studying in an online bachelor’s degree in English program.

ทับทิมเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 ของ STOU ซึ่งเป็นทีที่เธอเรียน ป.ตรี ออนไลน์ในสาขาภาษาอังกฤษ
สังเกตคำว่า where นะคะ
ประโยคแรกคือ ทับทิมเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 ของ STOU
ประโยคสอง คือ STOU เป็นที่ที่ทับทิมเรียน ป.ตรี ออนไลน์ในสาขาภาษาอังกฤษ
เราจะไม่ใช้คำซ้ำๆ กัน เวลาแต่งประโยคเป็นภาษาอังกฤษ
เพราะ STOU เป็นสถานที่ เราจึงใช้คำว่า where มาแทน

คำอื่นก็มี เช่น who, which, whose, whom, that, when, where, why

ลองดูตัวอย่างนี้นะคะ

She has a son ____ is a doctor.
a. who b. which c. whose d. that

ให้เพื่อนๆ ลองคิดดูนะคะ

ศึกษาต่อได้ที่ http://www.oxbridge.in.th/grammar-tips/ ... 7%E0%B8%A1


She works as a sales representative in a pharmaceutical company and thinks that it is a good idea to work and earn a bachelor’s degree side-by-side.

เธอทำงานเป็นตัวแทนขายในบริษัทยาแห่งหนึ่งและคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่จะทำงานและเรียนปริญญาตรีไปพร้อมๆ กัน

She works as....ตำแหน่งงาน.... in .......สถานที่ทำงาน........ เป็นตัวอย่างที่ดีในการบอกว่า ทำงานอะไรที่ไหน
side-by-side แนทเดาจากบริบทค่ะ มันน่าจะแปลว่าเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย

Actually, she does not have to use English in her work at all, but she loves to learn it.

has to หรือ have to แปลว่า ต้อง
(has to ใช้กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 ประธานนอกจากนั้นใช้ have to)
must ก็แปลว่าต้องเหมือนกันใช่ไหมคะ
แต่พอเป็นปฏิเสธ do not have to หรือ does not have to แปลว่า ไม่จำเป็นค่ะ (ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้)
must not to แปลว่า ต้องไม่ทำ ห้ามทำ!! จะเด็ดขาดกว่าประโยคข้างบน
เพราะงั้นประโยคนี้ เลยแปลว่า...
ที่จริงแล้ว ทับทิมไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานเลย แต่เธอก็รักที่จะเรียนภาษาอังกฤษ
(not at all คือ ไม่โดยสิ้นเชิง)


She really enjoyed listening to English teachers’ lectures and answering grammatical questions when she was at school. She also liked to do pair work and group work in an English class where she could interact with her classmates.

เธอชอบฟังเลคเชอร์ของอาจารย์ภาษาอังกฤษและชอบตอบคำถามเกี่ยวกับแกรมม่าสมัยเรียนที่โรงเรียน เธอยังชอบทำงานเป็นคู่และทำงานกลุ่มในชั้นเรียนภาษาอังกฤษซึ่งเป็นที่ที่เธอได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นของเธอ

ประโยคนี้เล่าถึงอดีตค่ะ สังเกตที่กริยา จะเป็นช่อง 2 ทั้งหมด


Tabtim is not shy, so it is easy for her to meet new people and talk with them. She has always had many friends in school. She enjoys meeting her friends after class and going shopping or out for dinner. Her past studies were in a face-to-face educational environment, so distance learning is new to her.

ทับทิมไม่ใช่คนขี้อาย ดังนั้นมันจึงง่ายสำหรับเธอที่จะพบปะผู้คนใหม่ๆ และพูดคุยกับพวกเขา เธอมีเพื่อนมากมายในโรงเรียน เธอชอบที่จะนัดเจอเพื่อนหลังเลิกเรียนและไปช้อปปิ้งหรือทานข้าวเย็นด้วยกัน การเรียนของเธอแต่ก่อนบรรยากาศจะเป็นแบบ face-to-face (เห็นหน้าค่าตากัน) ดังนั้นการเรียนทางไกลจึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ


Tabtim is unsure about her academic or career goals, but she enjoys being a student because she thinks it is fun.

ทับทิมไม่แน่ใจเกี่ยวกับเป้าหมายในการเรียนหรืออาชีพของเธอ แต่เธอก็สนุกกับการเป็นนักเรียนเพราะว่าเธอคิดว่ามันสนุกดี

After one semester in this online program, she finds that it is not what she expected. She feels lonely and bored because she has to study by herself. She misses the classroom environment where a teacher tells students what they need to know and to do at a certain time. She is questioning whether learning in a distance mode is the right environment for her and whether she should drop out.

หลังจากผ่านไปหนึ่งภาคเรียนในการเรียนออนไลน์ เธอพบว่ามันไม่เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ เธอรู้สึกเหงาและเบื่อเพราะเธอต้องเรียนด้วยตัวเอง เธอคิดถึงบรรยากาศในชั้นเรียนที่มีอาจารย์คอยบอกคอยสอนนักเรียนว่าพวกเขาจำเป็นต้องรู้อะไรบ้างและทำตอนนั้นเลย เธอสงสัยว่าการเรียนทางไกลเหมาะกับเธอไหม หรือว่าเธอควรจะถอนตัวดี

drop out = เลิกกลางคัน

-------------------------------------------------------------------------------------

อย่าเพิ่งเศร้าตามทับทิมแล้วลาออกไปนะคะ ให้เราศึกษาและจำรูปประโยคต่างๆ ของทับทิมค่ะ
มันจะช่วยในการแต่งประโยคของเราเอง
Last edited by KrittayaLee on Fri Jun 23, 2017 5:16 am, edited 1 time in total.

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 5:16 am

เย่ คุณ peaceful มาแล้ว
กำลังเหงาๆ เลย คุยอยู่คนเดียว 5555

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 5:40 am

โมดูล 2 ตัวอย่างประโยคที่เขียนผิดที่อาจารย์ยกมาในชั่วโมง Chat room นะคะ

1. she is an easy-going
ประโยคนี้ ผิดตรงไหนคะ??

easy-going ไม่ได้แปลว่า ไปกับเขาง่ายๆ นะคะ
easy-going แปลว่า เป็นคนสบายๆ เข้ากับคนง่ายไรงี้

ระวัง ถ้า easy เฉยๆ เช่น I'm easy อันนี้เป็นคนใจง่าย ไม่ดีๆๆ 555

She is + adj. >>> She is easy-going แบบนี้ถูกต้องค่ะ

ถ้าจะเติม an ต้องคิดเลยว่า a, an, the วางหน้าคำนาม เพราะงั้นต้องมีคำนามค่ะ

She is an easy-going person. แบบนี้ถึงจะถูกนะคะ


2. He is an engineer and also be a business
ผิดตรงไหนดี

He is an engineer อันนี้ถูก เขาเป็นวิศวะ แต่อิข้างหลังอ่ะค่ะผิด
เขาจะเป็นธุรกิจไม่ได้ เขาต้องเป็นนักธุรกิจใช่ป้ะคะ
He is an engineer and is also a businessman.

3. I am a service customer
ผิดอีกแล้วค่ะ
เพราะอันนี้แปลว่า ฉันเป็นลูกค้าที่บริการ งงค่ะงง อย่าลืมว่า ภาษาอังกฤษแปลหลังไปหน้า
คำขยายอยู่ข้างหน้าคำหลัก

ที่ถูกต้องเป็น I am a customer service officer.

4. Khun A is ......... who the eldest in our team
ผิด ตรง ไม่มี Verb ให้ who
who แทน Khun A ก็ต้องมี Verb ให้ who ด้วยค่ะ
เติม is เข้าไปค่ะ เป็น Khun A is......... who is the eldest in our team.

5. She spends her free time in shopping and reading cartoon books
อันนี้ต้องตัด in ออกนะคะไม่มี in ถึงจะถูก


ไลฟ์แชทของโมดูลนี้ เหมือนสอนการหา errors เลย

Boonyalip
Posts: 3
Joined: Fri Jun 23, 2017 4:13 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by Boonyalip » Fri Jun 23, 2017 5:55 am

ขอบคุณนะคร้บ K.Krittaya เยี่ยมเลย

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 5:59 am

โมดูล 7 Reading Strategies (Aj. Ananya)

กลวิธีการอ่าน
1) Study reading >> คือการอ่านช้าๆ อ่านมากกว่า 1 รอบ เพื่อความเข้าใจ อาจมีการอ่านออกเสียงเพื่อจดจำ
เช่น การอ่านหนังสือเตรียมสอบ
2) Skimming >> อ่านข้ามคำอย่างเร็วๆ เพื่อรู้คร่าวๆ เมื่อมีเนื้อหาเยอะ หาประเด็นสำคัญ (main idea/ gist/ general idea)
3) Scanning >> อ่านแบบกวาดสายตา เพื่อหาข้อมูลเฉพาะ เช่น หาชื่อคน ชื่อสถานที่ ตัวเลข (specific information)

ถ้าอ่าน TV guide ว่ามีอะไรดูตอนบ่ายบ้าง อาจใช้วิธี skimming
แต่หาว่ารายการนี้ มาตอนกี่โมง ใช้วิธี scanning

ถ้าดูแคตตาล็อกว่ามีอะไรลดราคาบ้าง ใช้ skimming
แต่ดูรายละเอียดสินค้า หรือราคาในแคตตาล็อก จะเป็น scanning


เพราะงั้น 3 วิธีนี้ต่างกันที่วัตถุประสงค์ของการอ่าน แต่ปกติก็ต้องใช้ทั้งสามวิธีนี่แหละค่ะในการเรียน
บางทีอาจจะได้ใช้ skimming กับ scanning พร้อมๆ กัน :)

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 6:00 am

ถ้ามีประโยชน์ ก็ยินดีค่า คุณ Boonyalip :)

KrittayaLee
Posts: 203
Joined: Tue Mar 21, 2017 2:51 am

Re: ติวสอบกันค่ะ ^____^

Post by KrittayaLee » Fri Jun 23, 2017 7:09 am

โมดูล 11 Presenting Information (Aj. Narinthip)

รักสุดค่ะ โมดูลนี้ เป็นโมดูลที่ใช้เวลาทำงานนานที่สุดตั้งแต่เรียนวิชานี้มา..
เพราะต้อง PARAPHRASE !!!!
ก่อนจะรู้จัก paraphrase เรารู้จัก plagiarism ก่อนดีกว่าว่าคืออะไร


จดดีๆ นะคะนักเรียน ตรงนี้ออกข้อสอบ ดอกจันไปแปดร้อยดอก ไฮไลท์ไปสิบสี่สีค่ะ
****** Plagiarism = การคัดลอกผลงานหรือความคิดของผู้อื่น โดยไม่มีการอ้างอิงที่เหมาะสม ******
ถามว่า ... แล้วเราคัดลอกผลงานคนอื่นได้ไหม ถ้าเราอ้างอิงเหมาะสม
อ้างอิงเหมาะสมจริงก็เอามาได้
เช่น สมมติ แนทเขียนว่า... การกินผักทำให้ร่างกายแข็งแรง
เพื่อนๆ อยากคัดลอกคำนี้ไปเลย ก็ต้องมีเครื่องหมายคำพูดคร่อมค่ะ
"การกินผักทำให้ร่างกายแข็งแรง" แนทพูด แล้วแนทพูดที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไรก็ใส่ไป แบบนี้ได้

แต่ถ้าตัวละครสมมติ ชื่อ พี่ก้อย อยากเขียนว่า การกินผักทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยที่ลอกข้อความมาเป๊ะๆ ไม่ได้ใส่เครื่องหมายคำพูดคร่อม
แต่บอกว่าแนทพูดที่ไหนเมื่อไหร่ ก็ถือว่าผิดนะคะ
อ้าว ทำไมผิด ก็อ้างอิงแล้วนี่นาว่าแนทพูด ก็เพราะว่า...
ถ้าเราไม่ได้ใส่เครื่องหมายคำพูด เราต้องเปลี่ยนรูปประโยคแต่ต้องให้มีความหมายเดิมค่ะ
พี่ก้อยต้องบอกว่า ร่างกายแข็งแรงเมื่อกินผัก แนทพูด พูดที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร ก็เขียนไป
(นี่ยกตัวอย่างเฉยๆ นะคะ อย่าเพิ่งปาทุเรียนค่ะ ใจเย็นๆ ถ้าจะปามาขอแบบแกะแล้ว เอาแบบไม่เละนะคะ)

และนี่คือความหมายของ paraphrase ค่ะ
paraphrase คือการเอาประโยคที่คนอื่นกล่าวไว้ มาเปลี่ยนเป็นคำของเราเอง สไตล์เราเอง
แล้วเราอุตส่าห์เอามาเปลี่ยนเองแล้ว เป็นภาษาเราแล้ว ทำไมเราต้องอ้างอิงคนเขียนล่ะ
กลับไปอ่านความหมาย plagiarism ใหม่ค่ะ มันคือการขโมยความคิดด้วย!! ใช่ค่ะ
ถ้าไม่ได้คิดเอง ต้องอ้างอิงคนคิดค่ะ

Locked

Return to “14111 ทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง [1/60]”

şişli travesti

Who is online

Users browsing this forum: No registered users and 0 guests